Firewatch เกมจากทีม Campo Santo ที่นำเสนอกลิ่นอายบรรยากาศภายในเกมบนสภาพผืนป่าไวโอมิงในเหตุการณ์ Yellowstone fires เมื่อปี 1988 ,ทีนี้ใครที่ติดตามเกมนี้ครั้งเริ่มพัฒนาใหม่ๆอาจจะพาลนึกถึงการดับไฟป่า ทำหน้าที่เหมือนหน่วยกู้ภัยคอยสังเกตการณ์บนผืนป่าในสภาพแวดล้อมแบบ open world และมีหลายสิ่งอย่างให้เราได้ทำ อันนี้อาจจะต้องหยุดชะงักเพื่ออ่านรีวิวฉบับนี้กันสักหน่อย …ขอขอบคุณตัวเกมจากทาง GGKeyStore ที่ส่งมาให้ทางเราได้เขียนรีวิวครั้งนี้ด้วยครับ
สำหรับเกม Firewatch พูดกันตรงๆแล้วอาจไม่ได้เรียกว่าเป็นเกมเต็มตัวเสียทีเดียว จะบอกว่าเป็นนิยายที่เล่าเรื่องผ่านตัวเกมก็คงไม่ผิดนัก โดยตัวเรารับบทบาทเป็น Henry ชายที่ประสบมรสุมชีวิตที่คนรักของเขา Julia เป็นอัลไซเมอร์ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจปลีกวิเวกขอไปเป็นอาสาระวังไฟป่าในช่วงฤดูร้อนปี 1989 และได้พบกับคู่หู Delilah ที่สื่อสารกันแค่เสียงพูดและคอยพูดคุยกับเราทั้งเกมเปรียบเหมือนเพื่อนเหงาสาวดอยข้างๆ โดยตัว Delilah นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดของเกมนี้ในความคิดของผม
สำหรับเกม Firewatch พูดกันตรงๆแล้วอาจไม่ได้เรียกว่าเป็นเกมเต็มตัวเสียทีเดียว จะบอกว่าเป็นนิยายที่เล่าเรื่องผ่านตัวเกมก็คงไม่ผิดนัก โดยตัวเรารับบทบาทเป็น Henry ชายที่ประสบมรสุมชีวิตที่คนรักของเขา Julia เป็นอัลไซเมอร์ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจปลีกวิเวกขอไปเป็นอาสาระวังไฟป่าในช่วงฤดูร้อนปี 1989 และได้พบกับคู่หู Delilah ที่สื่อสารกันแค่เสียงพูดและคอยพูดคุยกับเราทั้งเกมเปรียบเหมือนเพื่อนเหงาสาวดอยข้างๆ โดยตัว Delilah นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดของเกมนี้ในความคิดของผม
ถ้าเปรียบความน่าเบื่อหน่ายของเกมผมขอยกตัวอย่างเหมือนกับการอ่านนิยายของ มุราคามิ ที่การเล่าเรื่องมันดูธรรมดา มันดูเป็นกิจวัตร มันเป็นเรื่องธรรมดามากอย่างการอธิบายวันนี้ตื่นมาล้างหน้า นั่งขี้ ไปว่ายน้ำสักหน่อย ตบท้ายด้วยการฟังเพลงคลาสสิค มันไม่แฟนซีเหมือนกับการอ่านแฮรี่พอร์ตเตอร์ …คือในเกมมันไม่มีกิจวัตรอะไรแบบนี้หรอกครับ ผมเปรียบให้นึกถึงอารมณ์ลักษณะนั้นเฉยๆ. เกมเพลย์ของ Firewatch ส่วนใหญ่จะเป็นการเดิน ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นการเดินทางที่ดีที่สุดในสภาพแวดล้อมหินผาพื้นที่ต่างระดับมากมายแบบนี้ และด้วยการที่ผมเกริ่นไปว่าหากใครหลายคนคิดว่ามันเป็นเกมรูปแบบ open world อันนี้ต้องคิดใหม่ การดำเนินเรื่องในเกมทุกอย่างจะเป็นไปตามสคริปต์เดินไปตามเส้นทางที่ควรจะไป ไม่มีการเป๋ไปแวะข้างทางใดๆและในตัวเกมระหว่างเล่นก็ไม่ได้มีอะไรให้น่าเก็บสะสมไปกว่ากระดาษจดบันทึกสั้นๆหรือไดอารี่ ทุกอย่างจะเน้นการเล่าเรื่องให้ตัวผู้เล่นได้ติดหนึบไปกับการดำเนินเรื่องภายในเกมที่ค่อยๆเข้มข้นขึ้น ซึ่งตัวเราจะได้รับรู้ถึงความระทึก การค้นหาความจริงจนทุกอย่างคลี่คลาย ถึงกระนั้นมันก็มีช่วงเวลาน่าเบื่อเงียบๆที่ต้องเดินย้อนไปมาให้เห็นบ่อยๆ
ผมเล่นเกม Firewatch ใช้เวลาไป 6 ชั่วโมง …เผลอเปิดเกมทิ้งไว้เฉยๆ 1 ชั่วโมง ผู้เล่นคนอื่นคิดว่าก็คงเล่นจบภายใน 4 – 5 ชั่วโมง ไม่น่าจะมากหรือน้อยไปกว่านั้นเท่าไหร่ ด้วยการดำเนินเรื่องค่อนข้างเป็นเส้นตรงที่เน้นการเล่าเรื่องอย่างไม่ขาดตอน ผมคิดว่าจำนวนชั่วโมงเท่านี้มันเหมาะสมกับเกมนี้แล้ว แต่ถ้ามองในเรื่องของความคุ้มค่าราคา หากซีเรียสเรื่องนี้แนะนำสอยตอนลดราคาดีกว่าครับ เพราะตัวเกมไม่ได้มีแรงดึงดูดให้กลับไปเล่นซ้ำสอง บวกกับชั่วโมงเล่นอาจดูไม่สมเหตุผลเท่าไร
จุดเด่น
- บรรยากาศสภาพแวดล้อมในเกมดูสวยงาม
- เสียงและบทสนทนาทำได้น่าอ่านน่าฟัง
- สไตล์การเล่าเรื่องแม้จะดูจืดไปบ้าง แต่ดันติดหนึบอยากรู้เหตุการณ์ต่อไป
- ถึงแม้จะไม่ได้เดินป่าในชีวิตจริง แต่การกางแผนที่เป็นระยะและหยิบเข็มทิศในเกม เพื่อดูว่าหลงรึเปล่ามันก็รู้สึกเข้าท่าดีไม่น้อย
- เหมือนดูนิยายผ่านตัวเกม
- ฟีเจอร์หรือลูกเล่นภายในเกมไม่ได้น่าสนใจ มันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการเดินและหยิบจับสิ่งของ
- บางทีคุณอาจตั้งคำถามว่าประตูรั้วบานนั้นมันล็อคก็จริง ทำไมเราไม่ปีนข้ามรั้ว หรือเดินอ้อมลอดช่องหิน มันนิดเดียวจริงๆ
เตรียมตัวออกสู่โลกกว้าง
บรรยากาศเขียวขจี การจัดวางองค์ประกอบดูเป็นป่าจริงๆ
แผนที่และเข็มทิศ ของจำเป็นสำหรับการเดินป่า
รูปคู่ระหว่าง Henry และ Julia
ตัวเกมไม่ได้มีแค่บรรยากาศในป่า แต่ยังมีถ้ำให้สำรวจอยู่เล็กน้อย
ธารน้ำเล็กๆขนาบข้างด้วยโขดหินผา
ข้อมูล www.juropy.com
To love it is no reasonประวัตินักบาส
ตอบลบข่าวบาสเกตบอล