เดินทางกันมาสามภาคแล้วกับหนึ่งในแฟรนไชส์ที่ขึ้นชื่อว่าประสบความสำเร็จที่สุด และยากที่สุด Dark Souls 3 มาในภาคนี้ก็นับว่ามีการพัฒนาหลายอย่างเลยทีเดียว ไล่ไปตั้งแต่ระบบต่อสู้ยันกราฟิคในเกม วันนี้ เราก็จะมารีวิวกันว่า Dark Souls 3 นั้นมันยังมีสเน่ห์ และมนต์ขลังในแบบที่เกมตระกูล Souls มีแถมหายากกันอยู่อีกหรือไม่ แต่ก่อนจะไปงานนี้ก็ต้องกราบขอบพระคุณทาง BANDAI NAMCO เช่นเคยที่สนับสนุนคีย์รีวิวสำหรับเกม Dark Souls 3 มา ณ ที่นี้
Dark Souls 3 เป็นเกม Action-RPG พัฒนาโดย From Software และจัดจำหน่ายโดย Bandai Namco ตัวเกมจะข้ามเวลาห่างจากภาคสองไปอีกเป็นพันๆปี เราคือ Unkindled Ash อัศวินที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาเพื่อไลล่าเหล่า Lord of Cinder คนเก่าๆ ที่เคยเป็นผู้ที่เคยเสียสละตนเองเพื่อให้ไฟแห่งการเริ่มต้น The First Flame ลุกโชนต่อไปได้ เพราะเนื่องจาก The First Flame ที่เคยลุกโชนนั้นใกล้จะมอดดับอีกแล้ว ทำให้เหล่า Lord of Cinder ทั้ง 5 นั้นฟื้นคืนชีพขึ้นมานั่นเอง ส่วนที่ต้องไล่ล่าก็เพราะ 4 ใน 5 ของเหล่า Lord of Cinder นั้นตัดสินใจไม่ขอไปร่วมพิธีต่ออายุกองไฟอีกรอบและอยากจะปล่อยให้มันดับๆไป กลายเป็นงานเราที่จะต้องลากพวกเขากลับมาให้ได้ แม้นจะเหลือเพียงขี้เถ้า!
ต้องยอมรับเลยว่า ด้วยเกมเพลย์ต่อสู้ที่ยืมสไตล์มาจาก Bloodborne นั้นทำให้ตัวเกมนั้นทั้งรวดเร็ว สนุกมันส์ และคงเอกลักษณ์ความยากท้าทาย เพราะไม่เพียงแค่เราจะสามารถโจมตีได้คล่องตัวขึ้นและการกระโดดหลบทำได้ง่ายกว่าภาคก่อนๆ เหล่าศัตรูนั้นก็มีความโหดเร็วขึ้นตั้งแต่ต้นเกม บวกกับการวางมินิบอสที่ได้เห็นประปรายอยู่ตลอดเวลาเพื่อทดสอบความสามารถผู้เล่น ศัตรูตามทางที่มีลูกเล่นกวนประสาท ทำให้ระหว่างทางตลอดทั้งเกมไม่รู้สึกน่าเบื่อ ส่วนจะรู้สึกแบบไหนอันนี้น่าจะเป็นเรื่องของฝีมืออีกที แต่สำหรับคนที่ช่ำชอง Dark souls เป็นทุนเดิมและเล่นมาตลอดไม่หยุดหย่อนนี่ก็อาจเป็นของกล้วยๆไปเสียแล้ว ความสนุกปลายทางแต่ละจุดที่ให้ลุ้นก็คงเป็นห้องบอสแทนครับ …โดยรวมแล้วเกมเพลย์ของ Dark Souls 3 ทำออกมาได้สนุก ระบบอาวุธอย่างเช่นสไตล์และท่วงท่าเฉพาะ หรือคลาสตัวละคร สิ่งเหล่านี้ทำให้เกมสามารถหยิบกลับมาเล่นใหม่ได้เรื่อยๆเลย
บอสในเกมนั้นก็เป็นอีกส่วนที่ไม่พูดถึงก็ไม่ได้ เพราะบอสคือตัวชูโรงที่ทำให้ Dark Souls เป็นที่จดจำ บอสหลายๆตัวในภาคนี้ต้องยอมรับเลยว่า การดีไซน์บอสนั้นทำได้ดีเยี่ยมเอามากๆ เป็นบอสที่มีความน่าจดจำสูงไม่แพ้ภาคแรก บอสบางตัวมีรูปแบบการโจมตีทำให้เราต้องปรับแท็คติคตลอดเวลา ถึงแม้จะให้ความรู้สึกว่าแพทเทิร์นออกมาซ้ำๆแต่ก็รู้สึกว่าทำได้ดีกว่าของเดิมอยู่บ้าง แถมยังมีบอสน่าปวดหัวที่ต้องพูดถึงมันไม่ต่างจาก Dragon Slayer Ornstein & Executioner Smough ของตัวเกมภาคแรก อาทิ Nameless King ราชานิรนาม, Dancer of the Boreal Valley หรือ Pontiff Sulyvahn ที่ผมเรียกขำๆว่าบอสสตาร์วอร์เพราะดาบสองสีของมันที่ดูไกลๆแล้วเหมือนกำลังถือ Lightsaber ซึ่งใครหวดกับพวกนี้ตัวคนเดียวชิวเหมือนวิ่งในสนามเด็กเล่นอันนี้ก็ต้องยกนิ้วให้ แต่บางตัวก็ยังถือว่าเป็นบอสที่น่าเบื่อ ท่าโจมตีไม่หลากหลายรูปแบบไร้ความน่าสนใจ ส่วนคำถามใจของบางคนที่อยากรู้ความรู้สึกของฉากบอสไฟท์เมื่อเทียบกับภาคแรก โดยส่วนตัวแล้วผมประทับใจบอสไฟท์ของภาคแรกมากกว่า อาจจะเป็นเรื่องภูมิหลังของตัวละครบอส ทางเดินไปหาบอสที่ต้องฝ่าฟันมากกว่า รวมไปถึงความยาก แต่สำหรับ Dark Souls 3 ส่วนใหญ่แล้วผมเทคะแนนให้กับเรื่องดีไซน์การออกแบบ เท่ สวยงาม น่ามอง อะไรทำนองนี้มากกว่าครับ
ด้านกราฟิคและงานศิลป์นั้นก็จัดว่าสุดยอดไม่แพ้ภาคแรก ทุกสถานที่นั้นมักจะมอบวิวสวยๆในเกมให้เราได้ละลายไปกับบรรยากาศรอบข้างเสมอๆ เอาตั้งแต่จุดสูงๆอย่าง Cemetary Ash ตอนเริ่มเกมอย่างเดียวก็ไม่อยากจะให้เราไปไหนแล้ว ธีมโลกสีเทาๆ เหล่า Hollow Undead เดินเหม่อไปมาท่ามกลางฝุ่นขี้เถ้า มันให้ความรู้สึกสงบแปลกๆ ขัดกับตัวเกมที่ไม่อยากให้เราอยู่เฉยๆ ยันสถานที่ติดดิน Road of Sacrifice ป่าธีมสีส้มที่ให้ความรู้สึกระทึกดี ทุกสถานที่มีความเด่นในตัว ทำให้มันน่าจดจำ และบรรยากาศไม่จืดชืดแบบภาคสอง ใครที่ชอบโลกในภาคแรกไม่ต้องสงสัยว่าคุณจะต้องชอบภาคสามนี้แน่นอน
ตัวเกมยังจัดความเป็น Fan Services แบบสุดๆเรียกได้ว่าไม่มีกั๊ก ตั้งแต่พื้นที่ฐาน Hub ของเราที่ถูกเรียกว่า ‘Firelink Shrine’, Andre นักตีดาบจากภาคแรกที่นั่งตีอยู่ใต้โบสถ์ร้างของUndead Parish ก็กลับมา, Highwall of Lothric ที่พื้นที่ช่วงเริ่มเกมก็ชัดเจนว่าทำมาเหมือนจะสร้าง Undead Burg อีกรอบ แม้แต่ท่า Praise The Sun! ในตำนานก็ยังกลับมา นี่ยังไม่ได้พูดถึงอีกสองสามอย่างที่กลับมากับเขาเหมือนกันนะ (แต่ไม่พูดถึงเพราะมันเป็นสปอย) อันนี้ก็เลยกลายเป็นดาบสองคมไปในทันที เพราะตัวเกมดันเน้นที่จะขาย Fan Services มากเกินไปทำให้ดูไม่ค่อยมีอะไรใหม่ๆตามไปด้วย หลากหลายพื้นที่ หลากหลายศัตรูนั้นก็เหมือนจะจับเอาศัตรูภาคก่อนสองตัวมาผสมกันจนเป็นตัวใหม่มากกว่า ตรงนี้คิดซะว่าเป็นนานาจิตตังล่ะนะ เป็นเรื่องของรสนิยมแต่ละคน
การวาง Bonfire ในภาคนี้ก็ยังถือว่าเป็นอะไรที่ตลกมาก เพราะบางอันวางซะใกล้กับ Bonfire บอสมากชนิดที่ว่าห่างกันแค่สิบกว่าก้าว! มันเลยดูตลกไปเสียอย่างนั้น และด้วยการออกแบบเส้นทางในเกมที่เป็นเส้นตรงเอามากๆ ทำให้ผู้เล่นนั้นรู้สึกว่าเกมนั้นดู ‘ง่าย’ ไปเลย(ถึงรู้สึกว่ายากแต่มันก็เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ) ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเกมบังคับให้เราเดินไปข้างหน้าอย่างเดียว โอเคอาจจะมีทางซิกแซกแอบของไว้บ้างไม่ให้เกมรู้สึกเส้นตรงเกิน แต่เทียบกับภาคแรกที่แทบทุกพื้นที่ต้องผ่าน Firelink Shrine และเน้นให้เราวิ่งมากกว่าวาร์ปข้าม Bonfire ทำให้โลกในเกมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันบวกกับความท้าทายและกดดันของผู้เล่น ในส่วนนี้ของ Dark Souls 3 ผมรู้สึกไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ครับ
ด้านเนื้อหาในเกมก็ไม่สามารถทำให้เราสนใจมันได้เทียบกับภาคแรกที่มี Lore ล้ำลึกน่าสนใจ คือมันก็ยังไม่แย่ถึงขั้นปาทุกอย่างในภาคแรกทิ้งหมดแบบ Dark Souls 2 แต่ก็ไม่อาจดึงดูดมากพอจนทำให้เราต้องถึงกับนั่งอ่านรายละเอียดไอเทมเพื่อหาความเป็นมาปูมหลังของเกม โดยเฉพาะด้านเควส NPC ที่ภาคนี้ถ้าเราไม่ให้ความสำคัญกับมัน มันก็จะไม่สนใจเราเช่นกัน อย่างเช่นหลังจากผ่านป่า Road of Sacrifice แล้ว ผมก็ไม่เจอ NPC ให้คุยอีกเลยตลอดทั้งเกม! ซึ่งหลังจากหาข้อมูลมาก็พบว่าผมน่ะเป็นฝ่ายทำเควสพังเสียเอง แต่นั่นก็เป็นสัญญาณเช่นกันว่าภาคนี้ถ้าเราไม่สนเนื้อเรื่องของเกมด้วยการเดินค้นให้ทะลุทุกซอกทุกมุม เนื้อเรื่องเกมก็จะไม่สนคุณเช่นกัน ฉะนั้นใครที่อยากเก็บทุกรายละเอียดของเกมอาจจะต้องทำการบ้านกันสักหน่อย
สรุปแล้ว ถ้าเราจะมองว่ามันคือเกมตระกูล Souls ที่เป็นที่รู้จักกันดีในด้านการออกแบบโลก ดีไซน์เมืองแต่ละสถานที่ให้น่าสนใจและดูมีพื้นหลัง แถมยังมีเกมเพลย์ยากท้าทายเป็นที่สุด นี่คือสิ่งที่ทำให้ Dark Souls 3 เป็นเกมตระกูล Soul/Borne ฝีมือ From Software ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเวลานี้ แต่ถ้าเราจะมองว่ามัน“คือ”ภาคต่อ Dark Souls นั้น ด้วยการออกแบบโลกที่ดูเป็นเส้นตรง มี Hub เป็นเสมือนฐานผู้เล่น และการวาง Bonfire ที่ใกล้และถี่จนรู้สึกว่าเกมซอฟลงมาก ทำให้อาจไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่ามันคือภาคต่อของ Dark Souls ที่เราเคยสัมผัสครั้งแรก และหลงรักมันนัก แต่มองในแง่ตัวเกมเข้าถึงผู้เล่นหน้าใหม่ที่พึ่งเล่น Dark Souls 3 เป็นภาคแรกได้ง่ายขึ้น การทำให้ระบบเกมเพลย์การต่อสู้มีความสนุกและใส่ลูกเล่นอาวุธลงไป บอสในเกมมีมากพอที่สามารถหยิบมาบ่นระบายให้เพื่อนฟังได้ไม่ต่ำกว่าสามตัว หากมองแบบไม่ยึดติดสิ่งใดจากของเก่ามากนัก Dark Souls 3 ถือว่าเป็นเกมยอดเยี่ยมยกขึ้นหิ้งอีกหนึ่งเกมได้อย่างไม่ยากเย็นครับ
จุดเด่น
- งานศิลป์สภาพแวดล้อมในเกมสวยงามประทับใจ
- Gameplay ดีไซน์ออกมาได้สนุกยอดเยี่ยม
- เพลงประกอบที่ยังคงรักษาคุณภาพของ Dark Souls ได้อย่างดี
- บอสหลายตัวที่ถูกออกแบบมาดูดีน่าจดจำ
จุดด้อย
- การออกแบบโลกภายในเกมถึงแม้ดูกว้าง แต่ก็ดูเป็นเส้นตรงเกินไป
- สำหรับคนชอบความทรมานอาจไม่ชอบระยะของ Bonfire ภาคใหม่นี้เท่าใดนัก
Dark Souls 3 was reviewed using a Steam code provided by Bandai Namco Games Asia. Thank you and Best regards.
นั่งสมาธิกับมังกร!
ดินแดน Lothric จะทำให้ Lordran ภาคแรกเป็นต่างจังหวัดไปเลย
พอดาบเรืองแสงทีนี่นึกว่าหลุดมาจาก Star Wars ฮา
เจ้าตัวนี้ตัวเดียว ยากกว่าบอสในเกมหลายๆตัวซะอีก
ราชานิรนาม และสัตว์เลี้ยงของเขาล่ะ
ที่มา : www.juropy.com
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น